วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์2

ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์

ระบบปฏิบัติการเป็นโปรแกรม (Software) ที่ทําหน้าที่ ควบคุมการทํางานของ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งระบบปฏิบัติการจะทําหน้าที่ เป็น ตัวกลางในการติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องโดยตรงและโปรแกรมการใช์งานต่าง ๆ

ความหมายของระบบปฏิบัติการ
โปรแกรมระบบปฏิบัติการ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า OS (Operating System) เป็นโปรแกรม ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทําหน้าที่ควบคุมการทำงานต่าง ๆ เช่น การแสดงผล ข้อมูลการติดต่อกับผู้ใช้ โดยทําหน้าที่เป็นสื่อกลาง ระหว่างผู้ใช้กับเครื่องให้สามารถสื่อสารกันได้ควบคุมและจัดสรรทรัพยากรให้กับโปรแกรมต่าง ๆ

ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ระบบต่างๆ
การทํางานของคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทํางานด้วยตัวเองได้ แต่จะต้องอาศัยโปรแกรมสั่งให้คอมพิวเตอร์ทํางานซึ่งเรียกว่า “ซอฟต์แวร์” (Software) โดยทั่วไปซอฟต์แวร์จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ โปรแกรมสําเร็จรูป และโปรแกรมระบบปฏิบัติการ ซึ่งระบบปฏิบัติการนี้จะมีหน้าที่ ในการจัดการและควบคุมการทํางานและอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การจัดการเกี่ยวกับการแสดงผลบนจอภาพ รับข้อมูลทางแป้นพิมพ์หรือเมาส์ การจัดการเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลลงแฟ้ม การติดตั้งโปรแกรม นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการยังช่วยสร้างส่วนติดต่อ ระหว่างผู้ใช้กับคอมพิวเตอร์ (User interface) ให้ง่ายต่อการใช้งาน ระบบปฏิบัติการมีอยู่หลาย ระบบ ซึ่งมีการพัฒนาจากผู้ผลิตหลายบริษัท แต่ที่สํ าคัญ ๆ มีดังนี้

1. ระบบปฏิบัติการ DOS (Disk Operating System)
ระบบ DOS เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท IBM เพื่อให้เป็ระบบปฏิบัติการ
สําหรับเครื่องพีซี ซึ่งตัวโปรแกรม DOS จะถูก Load หรืออ่านจากแผ่นดิสก์เข้าไปเก็บไว้ในหน่วย
ความจําก่อน จากนั้น DOS จะไปทําหน้าที่เป็น ผู้ประสานงานต่าง ๆ ระหว่างผู้ใช้กับอุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ทั้งหลายโดยอัตโนมัติ โดยที่ DOS จะรับคําสั่งจากผู้ใช้หรือโปรแกรมแล้ว นํ าไป
ปฏิบัติตาม โดยการทํางานจะเป็นแบบ Text mode สั่งงานโดยการกดคําสั่งเข้าไปที่ซีพร็อม (C:\>)
ดังนั้น ผู้ใช้ระบบนี้จึงต้องจําคําสั่งต่าง ๆ ในการใช้งานจึงจะสามารถใช้งานได้ ระบบปฏิบัติการ
DOS ถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่เก่าแก่. และปัจจุบันนี้มีการใช้งานน้อยมาก


2 .ระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows
Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดยบริษัท Microsoft ซึ่งจะมีส่วนติดต่อกับ ผู้ใช้
(User interface) เป็นแบบกราฟิก หรือเป็นระบบที่ใช้รูปภาพแทนคําสั่ง เรียกว่า GUI (Graphic
User Interface) โดยสามารถสั่งให้เครื่องทํางานได้โดยใช้เมาส์คลิกที่สัญลักษณ์หรือคลิกที่คําสั่ง
ที่ต้องการ ระบบนี้อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมได้มากกว่า 1 โปรแกรมในขณะเดียวกัน
ซึ่งถ้าเป็นระบบ DOS หากต้องการเปลี่ยนไปทํางานโปรแกรมอื่น ๆ จะต้องออกจาก โปรแกรม
เดิมก่อนจึงจะสามารถไปใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ ได้ ในลักษณะการทํางานของ Windows จะมีส่วนที่เรียกว่า “หน้าต่าง” โดยแต่ละโปรแกรมจะถือเป็นหน้าต่างหนึ่งหน้าต่าง ผู้ใช้สามารถ สลับ
ไปมาระหว่างแต่ละหน้าต่างได้ นอกจากนี้ระบบ Windows ยังให้โปรแกรมต่าง ๆ สามารถ แชร์
ข้อมูลระหว่างกันได้ผ่านทางคลิปบอ์.ด (Clipboard) ระบบ Windows ทําให้ผู้ใช้ ทั่ว ๆไปสามารถ
ทําความเข้าใจ เรียนรู้และใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น

3. ระบบปฏิบัติการ Unix
Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้บนเครื่อง SUN ของบริษัท SUN Microsystems แต่ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับบริษัท Microsoft ในเรื่องของระบบปฏิบัติการบนเครื่อง PC แต๋อย่างใด แต่Unix เป็น
ระบบปฏิบัติการที่ใช็เทคโนโลยีแบบเปิด (Open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้อง ผูกติดกับ
ระบบใดระบบหนึ่งหรืออุปกรณ์ยี่ห้อเดียวกัน นอกจากนี้ Unix ยังถูกออกแบบมาเพื่อ ตอบสนอง
การใช้งานในลักษณะให้มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกัน เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (Multiuser
system) และสามารถทํางานได้หลาย ๆ งานในเวลาเดียวกัน ในลักษณะที่เรียกว่า ระบบหลาย
ภารกิจ (Multitasking system)

4. ระบบปฏิบัติการ Linux
Linux เป็นระบบปฏิบัติการเช่นเดียวกับ DOS, Windows หรือ Unix โดยLinuxนั้นจัด ว่าเป็นระบบปฏิบัติการ Unix ประเภทหนึ่ง การที่Linuxเป็นที่กล่าวขานกันมากในช่วงปี 1999 – 2000
เนื่องจากความสามารถของตัวระบบปฏิบัติ การและโปรแกรมประยุกต์ที่ ทํ างานบนระบบ Linux
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในตระกูลของ GNU (GNU’s Not UNIX) และสิ่งที่สําคัญที่สุดก็
คือ ระบบ Linux เป็นระบบปฏิบัติการประเภทฟรีแวร์ (Free ware) คือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อ
โปรแกรม Linux นั้นมี นักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วโลกช่วยกันแก้ไข ทําให้การขยายตัวของ Linux
เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของใจกลางระบบปฏิบัติการ หรือ Kernel นั้นจะมีการพัฒนาเป็น
รุ่นที่ 2.2 (Linux Kernel 2.2) ซึ่งได้เพิ่มขีดความสามารถและสนับสนุนการทํางานแบบหลายซีพียู
หรือ SMP (Symmetrical Multi Processors) ซึ่งทําให้ระบบLinux สามารถนําไปใช้สําหรับทํางาน
เป็น Saver ขนาดใหญ่ได้ระบบ Linux ตั้งแต่รุ่น 4 นั้น สามารถทํางานได้บนซีพียูทั้ง 3 ตระกูล คือ
บนซีพียูของ อินเทล (PC Intel) ดิจิทัลอัลฟาคอมพิวเตอร์ (Digital Alpha Computer และซันสปาร์ค
(SUN SPARC) เนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า RPM (Red Hat Package Management) ถึงแม้ว่า
ขณะนี้ Linux ยังไม่สามารถแทนที่ Microsoft Windows บนพีซีหรือ Mac OS ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่
ก็มีผู้ใช้ จํานวนไม่น้อยที่สนใจมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บน Linux และเรื่องของการ
ดูแล ระบบ Linux นั้น ก็มีเครื่องมือช่วยสําหรับดําเนินการให้สะดวกยิ่งขึ้น
…………………………………………………………

การเลือกระบบปฏิบัติการให้กับคอมพิวเตอร์ (OS)
ครั้งก่อน ผมพูดถึงการเลือกซื้ออุปกรณ์เพื่อนำมาประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ กันไปแล้ว..ครั้งนี้ผมจะพูดถึงวิธีการประกอบกันบ้าง..แต่เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องผมจะขอพูดถึงระบบปฏิบัติการ (OS) ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์กันก่อน..
ระบบปฏิบัติการ (OS) <-- มาจาก Operating System แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ
1.Unix เป็น OS ที่ใช้สำหรับ เครื่อง Server เพราะเป็น OS ที่มีเสถียรถาพมากที่สุด ไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปเพราะใช้ยากต้องมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขั้นสูง และไม่สนับสนุนพวก Multimedia ต่าง ๆ ปัจจุบันมี OS ที่เป็น Unix ที่พัฒนามาให้ใช้งานง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั่ว ๆ ไปเพราะจะมีลักษณะ คล้ายกับ Windows ของ Microsoft เราเรียก OS ตัวนี้ว่า Linux เป็น OS ที่สามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ เพราะเป็น OS ที่แจก Source code เพื่อนำไปพัฒนา ก็มีอยู่หลาย ๆ ค่ายที่นำ Linux ไปพัฒนา แต่ที่ได้รับความนิยมก็คือ Redhat Linux เพราะการใช้งานง่ายคล้าย Windows สำหรับที่เป็นภาษาไทย ตอนนี้ เนคเทค ได้พัฒนาจนสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ..สำหรับใครที่อยากทดลองใช้ก็สามารถ down load ได้จาก http://www.nectec.or.th
2. Apple OS เป็น OS ที่ใช้สำหรับเครื่อง Max เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบ Graffic design อะไรทำนองนั้นไม่เหมาะสำหรับ User อย่างเรา ๆ หรอกครับ..
3. Windows เป็น OS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดถึงประมาณ 90 % ของเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วโลก เพราะมีลักษณะการใช้งานที่ง่าย ไม่ต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์มากนัก สนับสนุน Multimedia อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ฯลฯ Windows ในปัจจุบันมีให้เลือกใช้งานหลาย version ด้วยกัน ทั้งที่ให้เป็น Server และ Home use ทั่ว ๆ ดังนี้
>>Home use1) Windows 3.11 เป็น OS แบบ 16 bit เป็น version แรกของ Windows ที่ใช้ทรัพยากรของระบบน้อยมาก แต่ประสิทธิภาพต่าง ๆ ที่สนับสนุนก็น้อยตามไปด้วย..2) Windows 95 เป็น OS แบบ 32 bit พัฒนาขีดความสามารถขึ้นมาจากเดิม มีฟีเวอร์ต่าง ๆ เพิ่มเข้ามา แต่ version นี้ยังมี bug มากไม่ค่อยเสถียรพอ..3) Windows 98 เป็น OS แบบ 32 bit ที่พัฒนามาจาก 95 แก้ไข bug ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งสนับสนุน Multimedia อย่างสมบูรณ์ มีการนำเอา browser ยอดนิยมอย่าง IE ติดมาให้ด้วย version นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก..4) Windows 98 SE เป็น OS แบบ 32 bit ที่แก้ไข version 98 ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แก้ไข bug และเพิ่มฟีเวอร์ใหม่ ๆ มากมายเช่นสามารถทำเป็น Server แชร์ IP ให้กับเครื่องลูกได้ และนำเอา IE 5 ติดมาด้วย นับว่า version นี้เป็น version ที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด และเสถียรภาพมากที่สุดแล้ว ในตระกูลของ Windows 985) Windows Me เป็น OS แบบ 32 bit ที่พัฒนามาสำหรับ Home use โดยเฉพาะ ตัดเอา Ms-Dos ออกไปเพื่อสร้างความมีเสถียรภาพให้กับระบบ สนับสนุน Multimedia สมบูรณ์แบบที่สุด..ตอนนี้ผมเองก็ลองใช้อยู่ครับ..ยอมรับว่าดีมาก ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเหมือน 98 ที่ผ่านมาครับ..>>Server 1) Windows NT4 มีความเสถียรถาพสูงทำงาน เป็น Srever การใช้งานผู้ใช้ต้องมีความรู้พอสมควรเพราะลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Unix แต่จะมีระบบ Graffic ที่ดีกว่า..2) Windows 2000 เป็น OS ที่เป็น NT พัฒนามาจาก NT4 มีความเสถียรภาพสูง และรองรับ Multimedia ใช้เป็น Server สนับสนุนการใช้งานแบบ Multi user มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม..มี 2 version ให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม..
" พูดถึง Windows ผมก็อยากที่จะให้ทุก ๆ ท่านมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ Windows 98 กับ Windows 2000 ว่าจริง ๆ แล้วลักษณะการใช้งานแตกต่างกัน ดังที่ผมได้พูดไว้แล้ว..บางท่านยังเข้าใจผิดว่า Windows 2000 เป็น version ใหม่ล่าสุดที่มาแทนที่ Windows 98 SE เวลาจะซื้อเครื่องก็มักจะถามว่า เป็น Windows 2000 หรือเปล่า..อะไรทำนองนี้ ผมก็อยากให้ท่านทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยนะครับ..ตอนนี้ที่เหมาะสำหรับ User ทั่ว ๆ ไป ก็คือ Windows 98 SE ครับ..ดีที่สุดแล้ว.."
………………………………………………………………………………………….

ระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์
ระบบปฏิบัติการ นี่นะครับ ก็หมายถึง ชุดของโปรแกรมที่อยู่ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์ครับ จะมีหน้าที่ในการควบคุมการปฏิบัติงานของฮาร์ดแวร์ และสนับสนุนคำสั่งสำหรับควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ประยุกต์ครับ ตัวอย่างของระบบปฏิบัติการนะครับ ก็ได้แก่ MS - DOS , UNIX , LINUX , Windows Me , Windows XP เหล่านี้เป็นต้นครับ ระบบปฏิบัติการนี้นะครับจะทำงานอยู่เบื้องหลังของผู้ใช้ครับ โดยระบบปฏิบัติการนี้ก็มีหน้าที่หลักๆ ดังนี้ครับ
• อันแรกนี้ก็คือการจัดส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ ครับ เช่น หน่วยประมวลผลกลาง ที่เก็บข้อมูลสำรอง หน่วยความจำ และเครื่องพิมพ์ เป็นต้นครับ
• อันที่สองนี้นะครับก็คือจัดการในส่วนของการติดต่อกับผู้ใช้ครับ
• และในข้อนี้ก็ไดแก่ให้บริการโปรแกรมประยุกต์อื่นครับ เช่น และการแสดงผล เป็นต้น โดยปกติแล้วโปรแกรมประยุกต์จะต้องทำงานผ่านระบบปฏิบัติการครับ
ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานในปัจจุบันนี้นะครับ จะเป็นระบบปฏิบัติการวินโดว์ครับ เพราะสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วด้วยครับ ถึงแม้คนที่ไม่ความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย ก็สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดว์ได้ แต่ในที่นี้นะครับผมจะขอกล่าวถึง ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในอดีตและในปัจจุบันนะครับแต่ในที่นี่ผมจะขอกล่าวถึง เพียงสองอย่างนะครับ ซึ่งได้แก่ MS – DOS และก็ Microsoft Windows สองอย่างนี้นะครับ
• ในข้อหนึ่งนี้นะครับผมจะกล่าวถึง ระบบปฏิบัติการ MS – DOS ครับ ซึ่ง เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการก็จะถูกเรียกจากฮาร์ดดิสก์มาไว้ใน หน่วยความจำของเครื่องนะครับเพื่อเตรียมที่จะใช้งานได้ทันที ที่ต้องการนะครับ ซึ่งขั้นตอนที่ย้ายระบบปฏิบัติการเข้าสู่หน่วยความจำของเครื่องนั้นเรียกว่า การบูตระบบ ครับ ซึ่งเมื่อเปิดสวิตช์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้น โปรแกรมเล็ก ๆ ที่อยู่ใน หน่วยความจำรอม จะเรียกเอาส่วนประกอบพื้นฐานที่จำเป็นของระบบปฏิบัติการจากฮาร์ดดิสก์เข้ามาไว้ในหน่วยความจำหลักนะครับ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์บนจอภาพเป็น C > หรือ C:\ > นี่นะครับ โดยที่หมายถึงดิสก์ไดรฟ์ที่ทำงานอยู่ และเครื่องหมาย > หมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะทำงานจากนั้น ผู้ใช้ก็จะสามารถพิมพ์คำสั่งของ MS – DOS ได้ทันทีครับเพื่อใช้งานคอมพิวเตอร์
ส่วนในข้อนี้นะครับผมจะกล่าวถึง ระบบปฏิบัติการวินโดว์ ครับ ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันนี้ครับ ผมจะกล่าวรายละเอียดเลยนะครับ คือ ไมโครซอฟต์วินโดว์นี่นะครับหรือที่นิยมเรียกกันว่า วินโดว์ นั่นแหละครับ ซึ่งมีระบบการติดต่อกับผู้ใช้เป็นแบบกราฟิกที่มีสีสันสวยงามมากครับและสามารถใช้ได้ง่าย ซึ่งผู้ใช้บนระบบวินโดว์นี้นะครับก็จะทำงานกับ เมนู และรูปภาพที่เรียกว่า ไอคอน แทนที่จะเป็นการพิมพ์คำสั่งต่าง ๆ ลงไปครับ ระบบปฏิบัติการวินโดว์ที่ใช้ในปัจจุบันนะครับก็ได้มีการพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องนะครับ ซึ่งก็ได้มีสีสันที่สวยงามมากขึ้นกว่าเดิม และสามารถใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าระบบปฏิบัติการวินโดว์ในรุ่นก่อนๆ นะครับ ถึงแม้ว่าวินโดว์จะเป็นระบบที่ทำงานด้วยกราฟิกที่มีสีสันสวยงานแต่การทำงาน ของวินโดว์นี้นะครับก็ยังทำงานภายใต้การทำงานของดอสครับ เพียงแต่ระบบวินโดว์นี้เราจะไม่จำเป็นต้องรู้คำสั่งของดอสเท่านั้นเอง เพราะเราใช้งานคำสั่งสำเร็จรูปด้วยเมนูบนวินโดว์ ครับ
ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ระบบปฏิบัติการนี่ นะครับ คือระบบปฏิบัติการสำหรับจัดการงานด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์นะครับ และช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่กับเครือข่ายสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกันได้ครับ อย่างเช่น ใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน เป็นต้น ระบบปฏิบัติการเครือข่ายนี่นะครับจะมีคุณสมบัติในการจัดการเกี่ยวกับเครือข่ายและ การใช้งานอุปกรณ์ร่วมกันนะครับ รวมทั้งยังมีระบบการป้องกันการสูญหายของข้อมูลอีกด้วยครับ
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่นิยมใช้ปัจจุบันนี้นะครับจะใช้หลักการประมวลผลแบบ ไคลเอนต์/เซิร์ฟเวอร์ นะครับ โดยส่วนประกอบสำหรับการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลและการจัดการโปรแกรมนั้นะครับจะทำงานอยู่บน เครื่องเซิร์ฟเวอร์ครับในขณะที่ส่วนประกอบอื่นๆ ของระบบปฏิบัติการเครือข่ายนี้นะครับจะอยู่บนเครื่องไคลเอนต์ครับ เช่น การติดต่อกับผู้ใช้ นะครับเหล่านี้เป็นต้น การจัดการให้ผู้ใช้เห็นว่างานและอุปกรณ์ทั้งหลายที่ใช้นั้นเสมือนอยู่บนเครื่องไคลเอนต์เองนะครับ ก็ถือว่าเป็นหน้าที่หลักอันหนึ่งของระบบปฏิบัติการเครือข่ายด้วยนะครับ
ระบบปฏิบัติการบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่นี้นะครับอย่างเช่นเครื่องระดับเมนเฟรมนี่นะครับ ได้ถูกนำมาใช้ในด้านธุรกิจและการศึกษานะครับ ซึ่งจะมีผู้ใช้งานพร้อมๆ กันจำนวนมากนะครับ ทำให้ระบบปฏิบัติการของเครื่องระดับนี้มีการทำงานที่ซับซ้อนมาก โดยต้องทำการดูแลสั่งงานโปรแกรมพร้อมๆ กันจำนวนหลายๆ โปรแกรมนะครับ ดูแลในการเข้าใช้งานเครื่องของผู้ใช้จำนวนหลายๆ คนนะครับ ดูแลจัดลำดับและแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ใช้ ตลอดจนการรักษาความเป็นส่วนตัวและความลับของผู้ใช้แต่ละคนอีกด้วยนะครับ
ระบบปฏิบัติการแบบเปิด
ผมต้องขอเล่ารายละเอียดสักเล็กน้อยนะครับ คือว่า ในสมัยก่อนนั้นผู้ที่พัฒนาระบบปฏิบัติการก็คือบริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์นะครับ ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้เฉพาะกับเครื่องของบริษัทเท่านั้นนะครับ ซึ่งเราเรียกระบบปฏิบัติการประเภทนี้ว่า ระบบปฏิบัติการแบบปิด ครับ ใน ปัจจุบันนี้นะครับเริ่มมีแนวโน้มที่จะทำให้ระบบการสามารถนำไปใช้งานบนเครื่องต่าง ๆ กันได้ซึ่งระบบปฏิบัติการแบบนี้นะครับก็คือ ระบบปฏิบัติการแบบเปิด นั่นเองครับ ก็อย่างเช่น UNIX หรืออีกระบบหนึ่งนะครับก็คือ ระบบ LINUX นี่เองครับ นี่แหละครับ คือระบบปฏิบัติการแบบเปิดครับ

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์


ประวัติและวิวัฒนาการของ MS DOS
ก่อนจะมาเป็น DOS
ในช่วงปี ค.ศ. 1974 ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยในระยะนั้น ไมโครโปรเซสเซอร์ที่ทำหน้าที่เป็นซีพียูเบอร์แรกที่ใช้กันแพร่หลายคือ 8080 ของบริษัทอินเทล และต่อมาก็กลายเป็น Z-80 ของบริษัทไซลอก ซึ่งทั้งสองตัวเป็นไมโครโปรเซสเซอร์ระดับ 8 บิต โดย Z-80 ซึ่งออกมาภายหลังมีขีดความสามารถสูงกว่า จนถึงปี 1981 ระบบปฏิบัติการที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดก็คือ CP/M 80 เพราะเขียนขึ้นด้วยภาษาเครื่องของ 8080 ถึงแม้ภายหลัง Z-80 จะได้รับความนิยมมากและเข้ามาแทนที่ 8080 ก็ตาม แต่สำหรับระบบปฏิบัติการก็ยังคงใช้ CP/M-80 อยู่
ต่อมาในปี ค.ศ. 1978 บริษัทอินเทลได้เริ่มผลิตไมโครโปรเซสเซอร์เบอร์ 8086 และ 8088 ขึ้น ทำให้มีความต้องการของระบบปฏิบัติการตัวใหม่สำหรับซีพียู 16 บิต ที่มีขีดความสามารถสูงขึ้น วงการอุตสาหกรรมไมโครคอมพิวเตอร์ต่างก็พากันฝากความหวังไว้กับบริษัทดิจิตอลรีเสิร์ช เจ้าของ CP/M-80 ที่กำลังเร่งมือพัฒนา CP/M-86 เพื่อใช้กับ 8088 และ 8086 อยู่ แต่โครงการดังกล่าวประสบกับความล่าช้าอย่างมาก
จนกระทั่งเดือนเมษายน ค.ศ. 1980 ระบบปฏิบัติการ CP/M-86 ก็ยังไม่สำเร็จ ในที่สุดซีแอตเติลคอมพิวเตอร์ตัดสินใจที่จะสร้างระบบปฏิบัติการขึ้นใช้เองสำหรับซีพียูทั้งสอง ระบบปฏิบัติการดังกล่าวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 โดยมีชื่อว่า QDOS หรือ Quick and Dirty Operating System ทั้งนี้เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างเร่งรีบใช้เวลาไม่นานแต่กลับทำงานได้ดี QDOS ตัวนี้เป็นเวอร์ชัน 0.10 คือยังไม่สมบูรณ์ดีนัก
ปลายปี ค.ศ. 1980 QDOS ก็ได้พัฒนาไปจนถึงเวอร์ชั่น 0.3 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น 86 –DOS และให้บริษัทไมโครซอฟต์เป็นตัวแทนจำหน่ายโปรแกรมดังกล่าว ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1981 ซีแอตเติลคอมพิวเตอร์ก็ได้ออก 86- DOS เวอร์ชัน 1.00 ซึ่งใกล้เคียงกับ MS – DOS หรือ PC – DOS เวอร์ชั่น 1.0 มาก ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1981 นั่นเอง ไมโครซอฟต์ได้ซ้อลิขสิทธิ์ของ 86-DOS จากซีแอตเติลคอมพิวเตอร์ และเปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft DOS หรือ MS-DOS เมื่อไอบีเอ็มออกเครื่องซีพีเป็นครั้งแรกในเดือนต่อมา คือเดือนสิงหาคม ก็ได้เลือกให้ไมโครซอฟต์จัดทำระบบปฏิบัติการให้โดยดัดแปลงจาก MS - DOS เรียกว่าเป็น PC-DOS เวอร์ชัน 1.0 เป็นระบบปฏิบัติการ มาตราฐานซึ่งทำให้ DOS ดังกล่าวแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง และทางบริษัทไมโครซอฟต์ก็ได้พัฒนา MS-DOS ไปจนถึงเวอร์ขัน1.24 ซึ่งก็คือ PC-DOS เวอร์ชัน 1.1 หรือ DOS 1.1 ในเวลาต่อมา

วิวัฒนาการของ Microsoft Windows รุ่นต่างๆ
Windows เป็นระบบปฏิบัติการแบบ GUI ของ Microsoft ซึ่งแต่ก่อนนี้มี MS-DOS เป็นแบบ Command Line ซึ่ง Windows ก็ได้พัฒนามาเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก Windows 1.0 ที่ยังเป็นแบบ 16-bit ทำงานบน DOS อยู่ จนทุกวันนี้ก็ได้ออก Windows 7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดออกมา มาดูกันว่า Windows แต่ละรุ่นของ Microsoft นั้น มีพัฒนาการความเป็นมายังไงบ้าง
Windows 1.0Windows 1.0 เป็น OS แบบ 16 bit ที่มี GUI ตัวแรกของ Microsoft โดยออกวางขายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 วางขายในรูปแบบของ Floppy Disk โดยผู้ใช้ต้องลง DOS ก่อน แล้วถึงลง Windows 1.0 ตามอีกที สามารถรันโปรแกรมของ DOS แบบ Multitasking ได้โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง ต้องการ Ram ขั้นต่ำ 384 KB (แนะนำ 512 KB) Windows 1.0 มี Shell ชื่อ MS-DOS Executive โปรแกรมที่มาพร้อมกับ OS ก็มีพวก Calculator, Calendar, Cardfile, Clipboard viewer, Clock, Control Panel, Notepad, Paint,Reversi, Terminal, และ Write
Windows 2.0Windows 2.0 ก็ยังเป็น 16 bit อยู่ ออกมาในปี 1988 แถมมากับคอมพิวเตอร์ของ AT&T ในฐานะของโปรแกรมทดสอบสำหรับสถานศึกษา Windows 2.0 เริ่มมีระบบ Plug&Play แล้ว สิ่งที่พัฒนาจาก Windows 1.0 คือสามารถลาก Application ที่รันอยู่ไปวางซ้อนกันได้ มี Keyboard Shortcut และมีปุ่ม Minimize/Maximize หน้าต่าง
Windows 3.0Windows 3.0 ออกมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 1990 เป็น Windows รุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง และสามารถฟาดฟันกับ OS เจ้าถิ่นในสมัยนั้นอย่าง Apple Macintosh ได้ Windows 3.0 มี Protected/Enhanced mode เพื่อให้ Applicaton ของ Windows สามารถใช้ Memory เยอะได้ได้มากกว่าที่ DOS จัดมาให้ (ยังรันบน DOS อยู่)
Windows 3.1Xเชื่อว่าหลายคนคงเคยใช้ กัน (ผมก็เคยใช้นะตัวนี้) Windows 3.1X ออกมาสานต่อความสำเร็จของ Windows 3.0 โดยออกมาในเดือนมีนาคม 1992 Windows 3.1X ออกแบบมาโดยใช้โทนสีชื่อ Hotdog Sand ซึ่งประกอบด้วยสีหลักๆ คือ แดง เหลือง ดำ เพื่อช่วยให้คนที่ตาบอดสีในระดับหนึ่งสามารถมองตัวอักษร,ภาพ ได้สะดวกขึ้น Windows for Workgroups 3.1 ออกมาในเดือนตุลาคม 1992 โดยเพิ่มเติมในส่วนของการสนับสนุนระบบเครือข่าย
Windows 3.11 NTWindows 3.11 NT เป็น Windows ตัวแรกของสาย NT โดยเน้นในทาง Server กับทางธุรกิจ ออกมาในวันที่ 27 กรกฎาคม 1993 โดยมีออกมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Windows NT 3.1 กับ Windows NT Advanced Server ซึ่ง Windows 3.11 NT นี้มีระบบความปลอดภัยในการรัน Application ที่เข้มงวดขึ้น โปรแกรมไหนที่ติดต่อกับ Hardware โดยตรง หรือยังใช้ Driver ของระดับ DOS อยู่ จะไม่อนุญาตให้รัน ทำให้ระบบมีความเสถียรขึ้นกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Win32 ซึ่งเป็น API แบบ 32 bit
Windows 95เป็น OS ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Microsoft ออกมาในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 เริ่มแยกตัวออกจาก DOS แล้ว (ยังมีหลงเหลือการใช้งาน Code บางส่วนจาก DOS อยู่) โดย Microsoft ได้ออก MS-DOS 7.0 ซึ่งเป็น DOS รุ่นปรับปรุงความสามารถเพื่อให้รองรับ Windows ใน Windows 95 นี้มีการปรับปรุง User Interface เป็นแบบใหม่ โดยแทบจะไม่เหลือสิ่งเดิมๆ ที่เคยมาจาก Windows รุ่นก่อนๆ ซึ่งสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาก็ได้แก่ Taskbar, Start button ,Start menu, และมี Windows Explorer เอาไว้จัดการไฟล์ Windows 95 รองรับการตั้งชื่อไฟล์ได้สูงสุด 255 ตัวอักษร รวมนามสกุล (ใน Windows รุ่นก่อนๆ ตั้งชื่อไฟล์ในระบบ 8.3 คือชื่อไฟล์ 8 ตัว นามสกุลอีก 3 ตัว ซึ่งเป็นข้อจำกัดมาจาก DOS) มีการทำงานแบบ 32 bit Multitasking
Windows 98ออกมาในวันที่ 24 มิถุนายน 1998 เอา Interface แบบ Web มายัดใส่ใน Windows และยัดเยียด Internet Explorer 4 มาให้พร้อม โดยตอนแรกกะจะให้มาแทน Windows 95 แต่ไปๆ มาๆ Windows 98 รุ่นแรกกลับมีปัญหามาก การใช้งานก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แถมตอนงานเปิดตัวก็ดันไปขึ้นจอฟ้าโชว์สาธาณชนอีกต่างหาก งานนี้เลยต้องออก Windows 98 SE (Second Edition) ออกมาแก้ตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม 1999 โดยแก้บั๊ก และปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มเติมการรองรับ USB และอัพเกรด IE เป็นรุ่น 5.0
Windows 2000Windows 2000 พัฒนาจาก Windows NT 4 ตอนแรกใช้ชื่อ Windows NT 5 แต่ด้วยกระแสปี 2000 ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น Windows 2000 โดยวางเป้าหมายไว้ที่กลุ่มผู้ใช้ด้วนธุรกิจ,Notebook,และ Server โดยออกวางขายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2000 มีออกมาทั้งหมด 4 รุ่น คือ Professional, Server, Advanced Server, และ Datacenter Server และในปี 2001 ก็ออก Windows 2000 Advanced Server Limited Edition และ Windows 2000 Datacenter Server Limited Edition เพื่อมารันบน CPU Intel Itanium ซึ่งเป็น CPU 64-bit โดย Microsoft ตั้งความหวังให้ Windows 2000 เป็น Windows ที่มีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากที่สุด แต่มันกลับตกเป็นเป้าหมายของไวรัสตัวแรงๆ โดยเฉพาะ Nimda กับ Code Red
Windows Millennium Edition (ME)Windows Millennium Edition พัฒนามาจากสาย Windows 9x โดยตั้งชื่อเกาะกระแสปี 2000 อีกตามเคย เป็น OS ลูกผสม 16-bit/32-bit ออกวางขาย 14 กันยายน 2000 โดยมาพร้อมกับ Internet Explorer 5.5, Windows Media Player 7, และ Windows Movie Maker (มี System Restore ด้วย) โดยปรับปรุง User Interface ให้ดูคล้ายๆ Windows 2000 ซึ่งผลตอบรับของ Windows ME คือถูกด่าแหลกราญ ทั้งเรื่องบั๊กมากมายมหาศาล และการที่มันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมจาก Windows 98 SE เลย นอกจาก Interface กับโปรแกรมใหม่ๆ (ซึ่งตอนนั้น IE 5.5 กับ WMP7 ก็ดาวน์โหลดได้ฟรีๆ จากเว็บ Microsoft) แถมกระแส Millenium ก็ใกล้จะหายแล้ว (มันออกมาขายช่วงท้ายปี) คนก็เลยไม่รู้ว่ามันจะออกมาทำเพื่ออะไร
Windows XPเป็นการรวมสายการพัฒนาของ Windows 9x กับ NT เข้าด้วยกัน ออกวางขายวันที่ 25 ตุลาคม 2001 ถ้านับตั้งแต่วันที่วางขายถึงตอนเดือนมกราคมปี 2006 ก็ขายได้มากกว่า 400 ล้านชุดแล้ว (ไม่รวมของเถื่อนอีก) ได้รับความนิยมสูงมาก และครองตลาดอยู่นานมากๆ จนเรียกได้ว่า OS ของคอมส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็น Windows XP โดย Windows XP นั้นเน้นการใช้งานส่วนบุคคล ชื่อ XP มาจากคำว่า Experience ซึ่งหมายถึง ประสปการณ์ โดย Microsoft บอกว่า ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการใช้ Windows XP ซึ่งคำพูดนี้เป็นจริงแค่ไหน เราทุกคนคงรู้กันดี Windows XP ออกมาแทนที่ Windows 2000 กับ Windows ME ได้สมบูรณ์ภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งตอนแรกๆ ก็มีคำตำหนิเรื่องการทำงานอยู่บ้าง แต่หลังจากออก Service Pack 2 ในปี 2004 ที่เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยเข้ามา มันก็กลายเป็น OS ที่ครองตลาด PC ไปเลย Windows XP มีออกมา 2 รุ่น คือ Windows XP Home กับ Windows XP Professional และมี Windows XP Media Center ตามออกมาทีหลังโดยเน้นความบันเทิงเป็นหลัก
การเปลี่ยนแปลงของ Windows XP ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็เป็นเรื่องของ User Interface โดยเปลี่ยนจากแบบเหลี่ยมๆ เทาๆ มันเป็นแบบหน้ามน มีสีสันสดใส รวมทั้ง Icon ต่างๆ ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ แสดงสีสันได้มากขึ้น มาพร้อมกับ Internet Explorer 6 ที่ไม่มีวันตาย Windows Media Player 8 (อัพเป็น 9 ใน SP2)
Windows Vistaแต่เดิมใช้ชื่อว่า Longhorn มีการพัฒนาอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็ออกมาวางขายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2006 พร้อมกับเสียงก่นด่านับไม่ถ้วน ตั้งแต่เรื่องกินสเปค ทำงานช้า Error บ่อย ไม่ Support โปรแกรมเก่าๆ ฯลฯ ถึงแม้จะมีการออก Service Pack มาแก้ปัญหาถึง 2 ตัว จนมันทำงานได้ดีแล้ว แต่ชื่อ Windows Vista ก็จะถูกจดจำไปอีกนานในฐานะ Windows ที่ล้มเหลวที่สุดของ Microsoft
Windows Vista พัฒนาจาก XP ไปเยอะมาก ทั้งเรื่องระบบความปลอดภัย มีการใส่ User Account Control เข้ามา เพื่อสร้างความปลอดภัย+รำคาญให้กับผู้ใช้ Windows Aero ขอบหน้าต่างใสๆ ปรับปรุง+เพิ่มโปรแกรมด้าน Multimedia เช่น Windows Media Player 10,Windows DVD Maker ปรับปรุงระบบ API ใส่ .NET 3.0 มาให้ด้วยเลย และด้าน Network ก็มาพร้อมกับ Internet Explorer 7 ที่ไม่มีใครอยากใช้
Windows 7จากความล้มเหลวใน Vista ทำให้ Microsoft แก้ตัวใหม่ โดยรื้อระบบใหม่เยอะมากๆ ปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้ดีขึ้นไปอีก กินแรมน้อยลงกว่า Vista มาก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของ Windows 7 คือ Taskbar แบบใหม่ ที่เรียกว่า Superbar นอกนั้นก็เป็นการเพิ่มความสามารถใหม่เข้ามา รวมถึงปรับปรุงโปรแกรมเก่าๆ ที่อยู่คู่กับ Windows มาช้านาน เช่น Paint,Wordpad,Calculator โดย Windows 7 ได้รับคำชมจากผู้ใช้มา ตั้งแต่ออกตัว Beta มาแล้ว และหลังจากออกตัว RC 1 มาให้ใช้กันฟรี ๆ ถึง 1 ปี Windows 7 ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่ออกวางจำหน่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 2009 โดยคาดว่าในอีกไม่นาน Windows 7 จะมาเป็น OS หลักสำหรับ PC แทนที่ Windows XP ที่จะมีอายุครบ 10 ปี ในปีหน้า

เนื่องจากระบบปฏิบัติการมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสถาปัตยกรรมของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ระบบปฏิบัติการนั้นทำงานอยู่ดังนั้นในการศึกษาวิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการจะศึกษาจากวิวัฒนาการของ เครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์แต่ละครั้งจะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบปฏิบัติการด้วย โดยสามารถจำแนกวิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการได้ดังนี้

ยุคที่ 1 หลอดสูญญากาศ ยังไม่มีระบบปฏิบัติการ
ช่วงปี ค.ศ. 1945 ถึง ค.ศ. 1955 มีการผลิตเครื่องจักรในการคำนวณโดยใช้หลอดสุญญากาศ ( Vacumm Tube ) ขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่มากประกอบด้วย หลอดสุญญากาศประมาณ 10,000 หลอด แต่มีความเร็วในการทำงานต่ำกว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบันมาก และมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้ใช้งาน และเชี่ยวชาญกับเครื่องดังกล่าว ในการสั่งงานให้เครื่องทำงานตามโปรแกรมที่กำหนดจะต้องทำงานโดยตรงกับเครื่องโดยใช้ฮาร์ดแวร์ในการสั่งงาน หรือที่เรียกว่าปลั๊กบอร์ดซึ่งเป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ในการควบคุมการทำงาน ภาษาคอมพิวเตอร์ก็ยังไม่เกิดขึ้น จึงต้องมีการควบคุมการทำงานของเครื่องโดยคนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีส่วนของโปรแกรมควบคุมระบบในการทำงานจึงถือว่าไม่มีระบบปฏิบัติการสำหรับใช้งาน

ยุคที่ 2 ทรานซิวเตอร์กับการประมวลผลแบบแบทซ์
ช่วงปี ค.ศ. 1955 ถึง ค.ศ. 1965 ได้มีการคิดค้นและประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ขึ้นเป็นผลสำเร็จ ทำให้วงการคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยได้มีการนำเอาทรานซิสเตอร์มาใช้เป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างคอมพิวเตอร์แทนการใช้หลอดสุญญากาศแบบเดิม และเริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้งานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการธุรกิจ และในช่วงนี้เองที่มีการแบ่งกลุ่มหรือจัดสรรบุคลากรที่ทำงานทางด้านคอมพิวเตอร์ออกเป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีหน้าที่การทำงานเฉพาะด้านอย่างชัดเจน จากเดิมที่คนเพียงคนเดียวทำงานทุกอย่างกลายเป็นแต่ละคนจะมีหน้าที่เฉพาะอย่างเช่น ผู้ออกแบบระบบ นักเขียนโปรแกรม พนักงานบันทึกข้อมูล ผู้บำรุงรักษาเครื่องเป็น
ในช่วงนี้ก็ได้มีการพัฒนาภาษาฟอร์แทรน ( FORTRAN ) ขึ้นเพื่อใช้งานซึ่งถือว่าเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงภาษาแรก โดยใช้บัตรเจาะรูในการบันทึกข้อมูล การเขียนโปรแกรมแต่ละครั้งจะเป็นการเขียนโปรแกรมลงกระดาษก่อนแล้วจึงนำไปในห้องบันทึกเพื่อทำการเจาะบัตรตามโปรแกรมที่เขียนไว้ ต่อจากนั้นจะส่งบัตรไปให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านข้อมูลเพื่อนำไปประมวลผล เมื่อคอมพิวเตอร์ทำงานเสร็จพนักงานควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ จะนำผลที่ได้ไปยังห้องแสดงผลเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมตรวจสอบความถูกต้องของโปรแกรมที่ตนเขียน ซึ่งจะเห็นว่ามีขั้นตอนในการทำงานมาก และเสียเวลาในการทำงานมาก และจากการที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้งานมาก นักออกแบบระบบคอมพิวเตอร์จึงได้พยายามหาหนทางที่จะทำให้การทำงานเร็วขึ้น ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นระบบการประมวลผลแบบแบทช์ ( Batch Processing System ) ซึ่งเป็นแนวความคิดในการรวบรวมงานจำนวนหลายๆ งาน มาเก็บไว้ในเทปแม่เหล็กซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและทำงานได้เร็วกว่าบัตรเจาะรู หลังจากที่มีการรวบรวมงานลงบนเทปแล้ว ก็นำเทปดังกล่าว (บรรจุงาน 1 งาน หรือมากกว่า 1 งาน) ไปยังห้องเครื่องซึ่งพนักงานควบคุมเครื่องจะติดตั้งเทป และเรียกใช้โปรแกรมพิเศษ (ในปัจจุบันเรียกว่าระบบปฏิบัติการ) เพื่อทำหน้าที่อ่านข้อมูลจากเทปและ นำไปประมวลผล ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน ก็จัดเก็บลงบนเทปอีกม้วนหนึ่ง หรือพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ก็ได้ และเมื่อเสร็จงานหนึ่งๆ ระบบจัดการก็จะทำการอ่านงานถัดไปโดยอัตโนมัติต่อไป และเมื่อหมดทุกงานหรือเทปหมดพนักงานควบคุมเครื่องก็เพียงแต่นำเทปม้วนใหม่ใส่เข้าไปเพื่อทำงานต่อ และนำเอาเทปที่เก็บผลลัพธ์ไปพิมพ์ที่เครื่องที่จัดไว้เพื่อการพิมพ์ผลโดยเฉพาะ ทำให้การทำงานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ปริมาณงานมากในระยะเวลาการใช้งานเท่ากันเมื่อเทียบกับการใช้งานในรูปแบบเดิม
งานส่วนใหญ่ที่นำมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 นี้ จะเป็นงานที่เกี่ยวกับทางวิทยาศาสตร์ และการคำนวณทางวิศวกรรม การแก้สมการทางคณิตศาสตร์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะ ใช้ภาษาฟอร์แทรน และ แอสเซมบลี้ ในการทำงาน ตัวอย่างของระบบปฏิบัติการที่มีใช้งานในยุคนี้ ได้แก่ ระบบปฏิบัติการเอฟเอ็มเอส ( FMS : Fortran Moniter System ) เป็นต้น

ยุคที่ 3 ยุคไอซีและระบบมัลติโปรแกรม (Multiprogramming)
ช่วงปี ค.ศ. 1965 ถึง ค.ศ. 1980 การใช้งานคอมพิวเตอร์ได้มีการขยายขอบเขตการใช้งานไปสู่วงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถแบ่งกลุ่มของงานออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ งานทางด้านธุรกิจ และงานทางด้านวิทยาศาสตร์ และเพื่อสนองความต้องการการใช้คอมพิวเตอร์ในวงการบริษัทไอบีเอ็มจึงได้พัฒนาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงานทางด้านธุรกิจแต่ยังคงความสามารถในการคำนวณข้อมูลทาง คณิตศาสตร์ไว้เช่นเดิม เรียกว่าซีสเต็ม 360 ( System 360 ) และได้มีการพัฒนาต่อไปเป็น 370 4304 3080 และ 3090 ในเวลาต่อมา ไอบีเอ็ม 360 เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการนำเอา เทคโนโลยีไอซีมาใช้ จึงทำให้มีความเร็วในการทำงานสูงขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความเร็วในการทำงานจะสูงเพียงใดก็ตาม แต่เนื่องจากมีการนำอุปกรณ์อื่นๆ มาเชื่อมต่อ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องขับเทปแม่เหล็ก เป็นต้น จึงทำให้การทำงานที่ช้ากว่ามากจนทำให้หน่วยประมวลผลต้องคอยการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้น เช่นการอ่านข้อมูลจากเครื่องอ่านบัตรหรือเทปซึ่งในขณะที่อ่านข้อมูลอยู่นั้นหน่วยประมวลผลไม่ได้ทำงานอื่นเลยเนื่องจากต้องคอยให้อ่านข้อมูลเสร็จ ก่อนหน่วยประมวลผลจึงจะทำงานต่อไปได้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงได้เกิดแนวความคิดที่ว่าในขณะที่หน่วยประมวลผลคอยการทำงานของอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งอยู่นั้น แทนที่หน่วยประมวลผลจะคอยการทำงานของอุปกรณ์ ก็ให้หน่วย ประมวลผลไปทำงานอื่นๆ ที่มีในระบบและกลับมาทำงานเดิมต่อไปเมื่อการทำงานของอุปกรณ์นั้นเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งการทำงานลักษณะนี้เรียกว่าระบบหลายโปรแกรม
แนวคิดในการทำงานแบบหลายโปรแกรมนี้ จะมีการแบ่งส่วนของหน่วยความจำเป็นส่วนๆ เพื่อเก็บงานต่างๆ ที่มีในระบบไว้ เมื่องานใดงานหนึ่งมีการคอยหรือมีการติดต่อกับอุปกรณ์ หน่วยประมวลผลก็จะไปทำงานอื่นๆ ที่มีอยู่ซึ่งจะทำให้สามารถใช้งานหน่วยประมวลผลได้อย่างเต็มที่ กล่าวคือหน่วยประมวลผลไม่ต้องมีการคอยงานเลย แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในหน่วยความจำจะมีการเก็บงานต่างๆ ไว้ แต่หากว่างานที่ทำอยู่มีขนาดใหญ่มาก งานอื่นๆ จะไม่ได้รับการประมวลผลเลยจนกว่างานที่หน่วยประมวลผลกำลังประมวลผลจะเสร็จสิ้นเสียก่อนซึ่งทำให้ผู้ที่ต้องการทำงานอื่นๆ ต้องคอย เช่น หากโปรแกรมมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นต้องนำมาแก้ไข และส่งเข้าไปต่อคิวอีกจะทำให้เสียเวลามากขึ้น

จากการที่ต้องการตอบสนองจากคอมพิวเตอร์ให้รวดเร็วขึ้น จึงได้เกิดแนวความคิดและออกแบบระบบการทำงานแบบจัดสรรเวลา ( Time Sharing ) ขึ้น โดยการจัดสรรเวลาของหน่วยประมวลผลให้บริการงานต่างๆ ที่มีอยู่พร้อมๆ กัน เช่นถ้ามีงานอยู่ในระบบ 20 งาน หน่วยประมวลผลจะแบ่งเวลามาทำงานของงานที่ 1 งานที่ 2 ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงงานที่ 20 โดยการเปลี่ยนงานซึ่งไม่จำเป็นต้องเสร็จงานใดงานหนึ่งก่อน กล่าวคือในการเปลี่ยนงานจากงานที่ 1 ไปทำงานที่ 2 นั้น งานที่ 1 อาจจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ได้ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้ทำให้ผู้ใช้บริการในระบบทั้ง 20 งานได้รับการตอบสนองหรือได้รับบริการจากคอมพิวเตอร์พร้อมๆ กันได้
ระบบปฏิบัติการแรกที่ใช้ระบบจัดสรรเวลานี้คือระบบปฏิบัติการมัลติก (MULTIC : MULTiplxed Information and Computing Service ) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสชาชูเซต ( Massachusetts Institute of Technology : MIT ) และต่อมาเคน ทอมสัน ( Ken Tompson ) ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการยูนิกซ์( UNIX Operating System)ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการแบบจัดสรรเวลาเช่นเดียวกันขึ้นมาและเป็นที่นิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถาบันการศึกษา รวมถึงองค์กรทางธุรกิจต่างๆ
ยุคที่ 4 ยุคคอมพิวเตอร์บุคคล และระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ช่วงปี ค.ศ. 1980 ถึง ค.ศ. 1990 จากการที่ได้มีการคิดค้นและประดิษฐ์วีแอลเอสไอ ( VLSI : Very Large Scale Integrate Circuit ) ได้สำเร็จ ซึ่งต่อมาได้นำมาใช้ในการผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้น จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงจากเดิมเป็นอันมาก นอกจากนี้ราคาก็ต่ำลงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่หน่วยงานต่างๆ สามารถมีไว้ใช้งานได้อย่างไม่ยากนัก ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกนำไปไว้ในงานทางด้านธุรกิจ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งรูปแบบการใช้งานนั้นมีทั้งแบบการใช้งานเฉพาะตัว หรืออยู่ในรูปของการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน เป็นระบบเดียวกัน และใช้ทรัพยากรต่างๆ ในระบบร่วมกัน ซึ่งเรียกว่าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network )
ระบบปฏิบัติการในยุคนี้มี 2 กลุ่มคือกลุ่มที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งได้แก่เอ็มเอสดอสและพีซีดอสซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเอ็มเอสดอสมีอยู่ด้วยกันหลายรุ่นตามวิวัฒนาการของ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล กล่าวคือเมื่อมีการพัฒนาสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถก็จะมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบปฏิบัติการตามไปด้วย และระบบปฏิบัติการอีกกลุ่มหนึ่งคือระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้งานบนเครื่องตั้งแต่ระดับไมโครคอมพิวเตอร์ขึ้นไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ต่อมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการระบบปฏิบัติการกล่าวคือมีระบบปฏิบัติการที่ใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์เรียกว่าระบบปฏิบัติการเครือข่าย ( Network Operating System : NOS ) ซึ่งทำให้สามารถขยายขอบเขตการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้เป็นอย่างมาก ระบบปฏิบัติการเครือข่ายมีแนวความคิดพื้นฐานไม่ต่างจากระบบจัดการแบบเดิมเท่าใดนัก โดยจะมีการจัดการเกี่ยวกับอุปกรณ์ควบคุมการสื่อสาร และโปรแกรมที่ควบคุมการทำงาน เช่น การเข้าถึงข้อมูล เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามก็ยังรักษาโครงสร้าง และหน้าที่หลักๆ ของระบบปฏิบัติการเอาไว้เช่นเดิม